Sunday, March 13, 2011

ไม่ว่ามนุษย์เราสร้างอะไรขึ้นมาก็ตาม ในที่สุดสิ่งนั้นก็กลับมาสร้างเรา


เมื่อโลกเล่นตลก

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

เมื่อเรายึดมั่นอะไรก็ตาม ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอาสุขหรือทุกข์ของเราไปขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น ถ้ามันเป็นไปตามใจเรา เราก็สุข แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามใจเรา เราก็ต้องทุกข์
ไม่ว่ามนุษย์เราสร้างอะไรขึ้นมาก็ตาม ในที่สุดสิ่งนั้นก็กลับมาสร้างเรา หรือมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม และวิถีชีวิตของเรา

เราสร้างเทคโนโลยีขึ้นมา และแล้วทุกวันนี้เทคโนโลยีก็มากำหนดชีวิตของเรา ตั้งแต่การกินอยู่ การใช้เวลาว่าง และการวางเป้าหมายของชีวิต (เช่น ตั้งเป้าว่าจะมีรถของตัวเองก่อนอายุ 30 ปี) แม้แต่การแสดงความรักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

ในทำนองเดียวกัน มนุษย์เรากำหนดมูลค่าของทองขึ้นมา แล้วในที่สุดทองก็กลายเป็นสิ่งวัดมูลค่าของตัวเราและคนอื่น (ไปงานราตรีสโมสรแล้วไม่มีทองหรือเพชรใส่สักเส้น จะรู้สึกอย่างไร)

ภาษาเป็นประดิษฐกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็เป็นประดิษฐกรรมของภาษา โลกทัศน์และความรู้สึกนึกคิดของเราถูกกำหนดโดยภาษามาก เพียงแค่คำว่า ‘ไอ้’ หรือ ‘ท่าน’ ย่อมให้ความรู้สึกแก่เราต่างกัน หากเราเป็นฝ่ายถูกเรียกด้วยสองคำนั้น แต่อิทธิพลของภาษามีมากกว่านั้น มันยังกำหนดวิธีคิดหรือทัศนะของเราต่อชีวิตและโลกอย่างลึกซึ้งและไม่รู้ตัว คงมีคำไม่กี่คำที่มีอิทธิพลต่อเราอย่างลึกซึ้ง เท่ากับคำว่า ‘ของ’ เรามักเรียกสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี ว่าเป็น ‘ของเรา’

คำๆนี้ ชวนให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของเราจริงๆ คือ อยู่ในอำนาจของเรา สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามใจเราได้ และสามารถจะอยู่กับเราไปชั่วฟ้าดินสลาย แต่ความจริงก็คือ ไม่ใช่ทั้งเพ แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากับข้อที่ว่า ‘อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นของเรา แท้จริงแล้ว เราต่างหากที่เป็น ของมัน’

เมื่อเราซื้อรถคันใหม่มา และคิดว่ามันเป็นของเรา เราก็ตกอยู่ในอำนาจของมันทันที คือ ต้องคอยเป็นห่วงมัน เฝ้าประคบประหงมมัน ถ้าจอดไว้ข้างถนนที่เปลี่ยว ก็อยู่ไม่เป็นสุข เพราะเฝ้ากังวลถึงมัน เจอรอยขีดข่วนเมื่อไร ก็หงุดหงิดอารมณ์เสียไปทั้งวัน ถ้ารู้ว่าเป็นฝีมือของลูกเมีย เป็นต้องระเบิดอารมณ์ใส่ ยิ่งถ้ารถเกิดหายไป ก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นของเรา ในความเป็นจริงมันต่างหากที่เป็นนายเรา

ทันทีที่คิดว่าเงินเป็นของเรา เราก็กลายเป็นข้ารับใช้มันไปโดยไม่รู้ตัว เราต้องคอยปกปักรักษามันเอาไว้ บางทีถึงกับเอาชีวิตเข้าแลก เพราะกลัวโจรเอาไป หาไม่ก็ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มันมีปริมาณเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างไปจากทาสที่สละหยาดเหงื่อแรงงาน เพื่อเติมคลังสมบัติของเจ้านายให้เต็ม แม้จะมีมากมายมหาศาล ก็หยุดหาเงินไม่ได้ ทั้งๆที่กิน 10 ชาติก็ไม่หมด กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ใช้มัน มันกลับใช้เรา เศรษฐีบางคนร่ำรวยสุดจะพรรณนา แต่อยู่อย่างอัตคัดราวยาจก เพียงเพราะเสียดายเงิน
แม้แต่บุคคลที่เราคิดว่าเป็นของเรา ถ้าเผลอเมื่อไร เราก็กลายเป็นของเขาไปทันที เพราะชะตาชีวิตของเรากลับไปขึ้นอยู่กับเขา

เราจะสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับว่าเขาคิดหรือพูดกับเราอย่างไร ถ้าเขาไม่พูดด้วยหรือทำท่ามึนตึง ก็แทบจะอยู่ไม่ได้เอาเลย ที่ฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากการยึดมั่นว่า …..เขาเป็นของฉัน …..ไม่ว่าคนรักของฉัน …..พ่อแม่ของฉัน …..หรือลูกของฉันก็ตาม แม่บางคนต่อว่าลูกที่เอาแต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ จนไม่เป็นอันกินอันนอนหรือเล่าเรียน ส่วนลูกก็รำคาญแม่ จนไม่พูดด้วย ยังคงขลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเดียว แม่ไม่พอใจมาก จึงยื่นคำขาดกับลูกว่า ถ้าลูกไม่คุยกับแม่ แม่จะฆ่าตัวตาย ลูกได้ยินก็ยังเฉย แม่ทั้งผิดหวังและน้อยใจอย่างรุนแรง จึงโดดลงจากตึกทันที

ยิ่งยึดมั่นว่าเป็นลูกของเรามากเท่าไร ก็ยิ่งคาดหวังให้เขาอยู่ในอำนาจของเรามากเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งคาดหวังเช่นนั้นมากเท่าไร เราก็ยิ่งกลับอยู่ในอำนาจของลูกมากเท่านั้น ดังนั้น ชีวิตจึงเป็นทุกข์ เพราะท่าทีหรือพฤติกรรมบางอย่างของเขา

ใช่หรือไม่ว่า เมื่อยึดใครว่าเป็นคนรักของเรา …..เราก็กลับตกอยู่ในอำนาจของเขา จนอาจเผลอทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว มองดูให้ดี ไม่มีอะไรเลยที่เมื่อยึดมั่นว่าเป็นของเราแล้ว เราไม่กลับเป็นของมัน แม้กระทั่งความคิด ความคิดใดก็ตามเมื่อเกิดขึ้นมาในใจแล้ว เรามักคิดว่ามันเป็นของเรา แต่ในความเป็นจริงมันไม่ยอมอยู่ในอำนาจของเราเลย มีหลายเรื่องที่เราไม่อยากคิด แต่มันกลับผุดขึ้นมาเอง

ไม่เชื่อ ก็ลองนั่งสมาธิทำใจสงบดู หรือเวลาเกลียดใครสักคน แล้วไม่อยากคิดถึงหมอนั่น ไม่ช้าไม่นานเราจะเผลอคิดถึงเขา แล้วก็จะคิดไม่หยุด บางทีกินก็คิด นอนก็คิด ทั้งๆที่ไม่อยากคิดเลย ความคิดนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันดูเหมือนจะมีชีวิตของมันเอง เช่น ต้องการดำรงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมตาย ดังนั้น มันจึงพยายามกระตุ้นให้เราคิดถึงมันอยู่บ่อยๆ เพราะถ้าไม่คิดถึงมัน มันก็จะตายไปในที่สุด เหมือนไฟที่ไม่มีเชื้อ ยิ่งคิดก็เท่ากับเติมชีวิตให้มัน เสมือนเติมเชื้อเพลิงให้กองไฟ สังเกตได้เวลาอยู่ในที่เงียบๆ หรือหลีกเร้น ความคิดต่างๆจะพรั่งพรูออกมา เพื่อหลอกล่อหรือยั่วยุให้เราคิดถึงมันเรื่อยๆ ใช่แต่เท่านั้น มันยังต้องการให้เราปกปักรักษามัน หรือเผยแพร่มันไปเรื่อยๆ

ใครก็ตามที่พยายามหักล้าง หรือขัดขวางความคิด (ที่หลงคิดว่าเป็น)ของเรา เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องไปเถียงหรือทะเลาะกับเขา จนอาจถึงขั้นทำร้ายกัน บางทีถึงกับทำสงครามกัน เพื่อปกป้องความคิด ซึ่งอาจมาในรูปของศาสนาหรืออุดมการณ์ทางการเมืองการที่เรายอมให้ความคิดผลักดันเราไปตายหรือไปฆ่าคนอื่น แสดงว่ามันอยู่ในอำนาจของเรา หรือเราอยู่ในอำนาจของมันกันแน่

ที่น่าแปลกก็คือ พอไปยึดมั่นว่าเป็นความคิดของเราแล้ว มันสามารถผลักดันให้เราทำอะไรได้ร้อยแปด ทั้งๆที่เป็นผลเสียกับเราเอง (แม้ไม่ถึงขั้นพาไปตายก็ตาม) ชายคนหนึ่งรักและหวงแหนสนามหญ้ามาก พยายามดูแลรักษามันทั้งเช้า-เย็น ทั้งฉีดยาและใส่ปุ๋ยอย่างดี ใครมาเดินเหยียบก็ไม่ยอม เป็นต้องทะเลาะกัน (ตกลงสนามหญ้าเป็นของเขา หรือเขาเป็นของสนามหญ้ากันแน่)

แล้ววันหนึ่ง เขาก็พบว่า มี ตัวตุ่น มาขุดรูทำรังอยู่ใต้สนามหญ้า นับวันรูตุ่นก็ขยายเป็นเครือข่ายกว้างขวาง ทำให้สนามหญ้ามีรอยนูนไปทั่ว เขาเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ พยายามกำจัดมันหลายวิธีแต่ก็ไร้ผล นับวันเขาก็ยิ่งคั่งแค้นเจ้าตัวตุ่นทั้งวันทั้งคืน คิดแต่จะหาทางเอาชนะเจ้าตุ่นนรกนี้ให้ได้ แล้วในที่สุดเขาก็พบวิธีเผด็จศึก
วันรุ่งขึ้นเขาเอาน้ำมันฉีดอัดเข้าไปในรูตุ่น จนกระทั่งแน่ใจว่าน้ำมันท่วมรูตุ่นทุกชั้นและทั้งเครือข่าย แล้วเขาก็โยนไม้ขีดไฟใส่เข้าไปในรู ไม่นานไฟก็ไหม้ลามตามรูตุ่นจนทั่วหมด ไม่มีตุ่นตัวไหนมีชีวิตรอด
แต่ผลที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ สนามหญ้าแสนรักแสนหวงของเขาก็พังพินาศด้วย

เมื่อคิดจะเอาชนะใครสักคน (หรือสักตัว) ความคิดนั้นก็สามารถผลักดันให้เราทำทุกอย่าง เพื่อจะได้ชัยชนะ โดยไม่สนใจหรือเผื่อใจคิดว่าจะสูญเสียอะไรบ้าง ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งสิ่งที่เราสูญเสียไป ก็คือ สิ่งที่เราแสนรักแสนห่วง และหมายจะปกป้องนั่นเอง ไม่ว่าทรัพย์สมบัติ บุคคล ความคิด รวมไปถึงชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออะไรก็ตาม เมื่อใดที่เราถือว่ามันเป็นของเรา เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นของมันทันที ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบก็คือ เป็นเพราะความยึดมั่นนั่นเอง

เมื่อเรายึดมั่นอะไรก็ตาม ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอาสุขหรือทุกข์ของเราไปขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น ถ้ามันเป็นไปตามใจเรา เราก็สุข แต่ถ้ามันไม่เป็นไปตามใจเรา เราก็ต้องทุกข์ ดังนั้น เราจึงพยายามที่จะควบคุมบังคับมัน ให้เป็นไปตามใจเราให้ได้

เพลงพระรัตนตรัย

ความฝันอันสูงสุด

น้ำตาแสงใต้

No comments:

Post a Comment